การลงทุนด้านสุขภาพดิจิทัลประสบความสำเร็จอย่างมากในปี พ.ศ. 2564 โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนไปใช้การดูแลเสมือนในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด
เฉพาะเก้าเดือนแรกเพียงอย่างเดียวสร้างรายได้รวม 21.3 พันล้านดอลลาร์สำหรับการเริ่มต้นด้านสุขภาพดิจิทัลจากข้อตกลงการลงทุน 541 ฉบับ ซึ่งน้อยกว่าสถิติที่ 14.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 ตามข้อมูลของ Rock Health กองทุนร่วมลงทุนที่อุทิศให้กับสุขภาพดิจิทัล
โมเมนตัมนั้นคาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2565 เนื่องจากบริษัทด้านสุขภาพดิจิทัลเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ การเรียนรู้ของเครื่อง การวิเคราะห์ข้อมูล และสุขภาพทางไกล
ต่อไปนี้คือตลาดสุขภาพดิจิทัล 5 แห่งที่น่าจับตามองในขณะที่นักลงทุนมองหาการทุ่มเงินจำนวนมากในภาคการดูแลสุขภาพ:
1. Telehealth 2.0
หลังจากกระแสสุขภาพทางไกลในปี 2020 เติบโตอย่างรวดเร็วจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การเข้าชมเสมือนจริงเริ่มมีเสถียรภาพแต่ในระดับที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับความต้องการก่อนเกิดโรคระบาด
การใช้งาน Telehealth โดยรวมลดลงที่ระดับ 38 เท่าซึ่งสูงกว่าก่อนการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ 13% ถึง 17% ของการเข้าชมในทุกสาขาตาม บทวิเคราะห์จาก McKinsey เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม
ส่งผลให้มีการลงทุนมหาศาลในบริษัทดูแลเสมือนจริง บริษัท telehealth ทั่วโลกระดมทุนได้ 4.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 จากข้อมูลของ Merccom Capital Group บริษัทด้านการสื่อสารและการวิจัยระดับโลก
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมกล่าวว่าอุตสาหกรรม telehealth เติบโตขึ้นและกำลังเปลี่ยนจากการเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อมุ่งเน้นไปที่การดูแลเฉพาะทางมากขึ้นหรือสิ่งที่เรียกว่า “telehealth 2.0”
ผู้ผลิต telehealth รายใหญ่ที่เริ่มสร้างคลินิกเสมือนจริงเฉพาะทางสำหรับเงื่อนไขที่มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นโรคไต อาการปวด MSK หรือไมเกรนเพื่อให้ทันกับการเริ่มต้นที่ท่วมท้น Jeff Becker นักวิเคราะห์ด้านการดูแลสุขภาพหลักของ CB Insights กล่าวกับ Fierce Healthcare ในเดือนตุลาคม .
Bill Taranto หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งและประธานกองทุน Merck Global Health Innovation Fund ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ของเมอร์คที่ลงทุนในด้านสุขภาพดิจิทัล
“ในปี 2022 ผู้ประกอบการและนักลงทุนจะขยายสาขาการแพทย์ทางไกลไปสู่พื้นที่การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ วันนี้มีคนในสหรัฐฯ ที่มีอาการหัวใจวายทุกๆ 40 วินาที และโรคหัวใจมีค่าใช้จ่าย 219 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี” เขากล่าว
Telehealth เป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดกว่าในการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด
“โดยรวมแล้ว คาดว่าผู้เล่น telehealth จะสร้างข้อเสนอของพวกเขาในแนวการดูแลเรื้อรังในทางที่มีความหมายในปี 2022” Taranto กล่าว
2. ความต้องการอุปกรณ์สวมใส่ในการติดตามสุขภาพเพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคกำลังซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2565
Deloitte คาดการณ์ความต้องการเทคโนโลยี Wearable Wellness ในปี 2565 ด้วยอุปกรณ์เพื่อสุขภาพและสุขภาพที่สวมใส่ได้ 320 ล้านเครื่อง ซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายทั่วโลกในปี 2565 ภายในปี 2567 ตัวเลขดังกล่าวจะสูงถึง 440 ล้านเครื่อง บริษัทคาดการณ์ การเติบโตนี้น่าจะได้รับแรงหนุนจากข้อเสนอใหม่ๆ ที่ออกสู่ตลาด และผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจำนวนมากขึ้นรู้สึกสบายใจที่จะใช้สิ่งเหล่านี้
ผู้คนใช้สมาร์ทวอทช์ในการตรวจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ก้าวเดิน เนื่องจากฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และแอพใหม่ๆ ได้เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นคลินิกสุขภาพส่วนบุคคล นักวิเคราะห์ของ Deloitte เขียน
เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นมาตรฐานในสมาร์ทวอทช์ส่วนใหญ่แล้ว และบางรุ่นมี ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการตรวจจับความผิดปกติ เช่น ภาวะหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้เล่นด้านการดูแลสุขภาพรายใหญ่กำลังเพิ่มการลงทุนในตลาดอุปกรณ์สวมใส่และอุปกรณ์เชื่อมต่อ Best Buy ใช้เวลาเกือบ $400 ล้านเพื่อซื้อกิจการ Current Health ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบผู้ป่วยระยะไกลและบริษัทอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Google ใช้เงินไป 2.1 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ Fitbit ติดตามฟิตเนสยักษ์ใหญ่ และบริษัทเทคโนโลยี Whoop ซึ่งผลิตเทคโนโลยีติดตามการออกกำลังกายที่สวมใส่ได้ ระดมทุนได้ 400 ล้านดอลลาร์จนถึงปัจจุบัน โดยมีมูลค่า 3.6 พันล้านดอลลาร์
นวัตกรรมสมาร์ทวอทช์กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความก้าวหน้าในด้านเซ็นเซอร์ เซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ ด้วยคุณสมบัติการติดตามสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น ตอนนี้อุปกรณ์สวมใส่สำหรับผู้บริโภคสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือคัดกรองเพื่อระบุปัญหาทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ซับซ้อนพอที่จะใช้เป็นอุปกรณ์เกรดทางการแพทย์ ตามที่ Mark Day รองประธานบริหาร
